รัฐ
คือ
กลไกทางการเมืองโดยมีอำนาจอธิปไตยปกครองดินแดนทางภูมิศาสตร์ที่มีอาณาเขตและมีประชากรแน่นอน
โดยอำนาจดังกล่าวเบ็ดเสร็จทั้งภายในและภายนอกรัฐ
ไม่ขึ้นกับรัฐอื่นหรืออำนาจอื่นจากภายนอก และอาจกล่าวได้ว่า
รัฐสามารถคงอยู่ได้แม้จะไม่ได้รับการรับรองจากรัฐอื่น
เพียงแต่รัฐที่ไม่ได้รับการรับรองเหล่านี้
มักจะพบว่าตนประสบอุปสรรคในการเจรจาสนธิสัญญากับต่างประเทศและดำเนินกิจการทางการทูตกับรัฐอื่น
องค์ประกอบสำคัญของรัฐ มี 4 ประการ คือ
1. ประชากร
รัฐทุกรัฐจะต้องมีประชากรจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีจุดมุ่งหมายและมีประโยชน์ร่วมกัน
จำนวนประชากรของแต่ละรัฐอาจมีมากน้อยแตกต่างกันไป ที่สำคัญคือ
จะต้องมีประชากรดำรงชีพอยู่ภายในขอบเขตของรัฐนั้น
2. ดินแดน รัฐต้องมีดินแดนอันแน่นอนของรัฐนั้น กล่าวคือ
มีเส้นเขตแดนเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศทั้งโดยข้อเท็จจริงและโดยสนธิสัญญา
ทั้งนี้รวมถึงพื้นดิน พื้นน้ำและพื้นอากาศ
3. อำนาจอธิปไตย อำนาจอธิปไตย คือ อำนาจรัฐ หมายถึง
อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ
ทำให้รัฐสามารถดำเนินการทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับการปกครองภายในและภายนอก
4. รัฐบาล รัฐบาลคือ
องค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินงานของรัฐในการปกครองประเทศ
รัฐบาลเป็นผู้ทำหน้าที่สาธารณะสนองเจตนารมย์ของสาธารณชนในรัฐ
เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและป้องกันการรุกรานจากรัฐอื่น
รัฐบาลเป็นองค์กรทางการเมืองที่ขาดไม่ได้ของรัฐ
ถึงแม้ว่าคำว่า รัฐ มักจะรวมถึงสถาบันรัฐบาลหรือการปกครอง
ทั้งสมัยโบราณและสมัยใหม่ ระบบรัฐสมัยใหม่มีลักษณะหลายประการ และคำดังกล่าวมักถูกใช้ในความหมายถึงระบบการเมืองสมัยใหม่เท่านั้น
คำว่า "ประเทศ" "ชาติ" และ "รัฐ"
มักจะถูกใช้ในความหมายที่สามารถทดแทนกันได้
แต่การเลือกใช้คำจะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้:
ชาติ: กลุ่มคนซึ่งเชื่อว่าตนมีวัฒนธรรม จุดกำเนิด และประวัติศาสตร์อย่างเดียวกัน
รัฐ: องค์ประกอบของสถาบันการปกครอง
ซึ่งมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนและประชากรที่แน่นอน
รัฐ (State) เป็นคำที่ใช้สำหรับเรียกหน่วยของสถาบันการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำหน้าที่ในการควบคุมสังคมและประชาชนผ่านการวางกฎระเบียบต่างๆ
และคอยจัดสรรทรัพยากรภายใต้พื้นที่จำกัด (Kurian, 2011: 1594-1597) โดยรัฐจะมีหน้าที่หลักอยู่
4 ประการ ดังนี้ หน้าที่ในการปกครองและควบคุมสังคม
หน้าที่ในการเป็นหน่วยเดียวของสังคมที่สามารถใช้ความรุนแรงอย่างชอบธรรม
หน้าที่ในการจัดการทรัพยากรภายในรัฐ ทั้งในด้านการเก็บภาษีและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
หน้าที่ในด้านของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่มา ในทางรัฐศาสตร์
นิยามของรัฐที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ นิยามของ แมกซ์ เวเบอร์ (Max
Weber) (อ้างใน Haralambos and Holborn, 2004: 541) ที่กล่าวว่า
รัฐ คือ องค์กรทางการเมืองที่มีอำนาจบังคับและมีความต่อเนื่องในการผูกขาดการใช้ความรุนแรงอย่างชอบธรรมด้วยการบังคับใช้ระเบียบและกฎหมาย
จากนิยามดังกล่าวจะเห็นว่ารัฐเป็นหน่วยทางการปกครองที่มีเป้าหมายในการรักษาระเบียบ
(social order) ทั้งในทางสังคมและการเมือง นักวิชาการที่ได้รับอิทธิพลจากนิยามดังกล่าว
จนสามารถสร้างผลงานทางรัฐศาสตร์ที่โด่งดัง คือ เธดา สค๊อกโพล (Theda
Skocpol) (1979: 29-32) หนังสือชื่อ States and Social Revolutions ที่กล่าวว่า “รัฐ” มีหน่วยงานในการจัดการทรัพยากรที่มีอยู่ภายในเขตแดนอย่างชอบธรรม
(legitimacy) เพื่อบรรลุเป้าหมายของตัวเอง คือการรักษาระเบียบ (maintains
order) และทำการแข่งขันกับรัฐอื่นในด้านศักยภาพของรัฐ เช่น การทหาร เป็นต้น
โดยอุดมคติแล้ว รัฐจึงมีหน้าที่ดูแลความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคน และภาคส่วนต่างๆ
โดยกำกับให้การดำเนินกิจกรรมใดๆ ในรัฐ เกิดประโยชน์โดยรวมต่อสาธารณะอย่างสมดุล
ในเชิงปฏิบัติ “รัฐ” เป็นคำศัพท์ที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายและมีความหมายที่หลากหลายในตัวของมันเอง
โดยสามารถจำแนกการใช้คำว่ารัฐออกเป็น 3 ความหมาย กล่าวคือความหมายแรก “รัฐ” คือ
พื้นที่ทางการเมืองในการต่อสู้ต่อรองของนักการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ในการเข้าไปมีอิทธิพลต่อการจัดสรรทรัพยากรสาธารณะ
เพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์แก่กลุ่มของตนมากที่สุด ความหมายที่สอง “รัฐ” คือ รัฐบาล
ที่ทำหน้าที่ในการบริหารประเทศและมุ่งหวังสร้างคะแนนเสียงเพื่อให้ได้รับคัดเลือกกลับเข้ามาบริหารประเทศอีกครั้ง
รัฐในความหมายนี้จึงไม่รวมถึงฝ่ายค้านในรัฐสภาและข้าราชการอื่นๆ และความหมายที่สาม
“รัฐ” คือ องค์การทางการเมือง
หมายรวมถึงหน่วยงานทั้งหมดที่เป็นของภาคสาธารณะ ทั้งรัฐบาล ข้าราชการ ศาล และทหาร
ซึ่งอาจถูกแทนด้วยคำว่าเจ้าหน้าที่รัฐ (the authorities) ได้
ตัวอย่างการนำไปใช้ในประเทศไทย สำหรับความหมายในสังคมไทย ในงานของชัยอนันต์
สมุทวณิช (2534: 25) ได้พยายามจำแนกการพิจารณาความหมายของรัฐออกเป็น 4 แนวทาง คือ 1)
รัฐในฐานะที่เป็นรัฐบาล
(the state as government) ซึ่งหมายถึงกลุ่มบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งที่มีอำนาจในการตัดสินใจในสังคมการเมือง
2) รัฐในฐานะที่เป็นระบบราชการ (the state as public bureaucracy)
คือเครื่องมือทางการบริหารที่เป็นปึกแผ่นและมีระเบียบทางกฎหมายรองรับ
3) รัฐในฐานะที่เป็นชนชั้นปกครอง (the state as ruling class) และ 4)
รัฐในฐานะที่เป็นโครงสร้างทางอุดมการณ์
(the state as normative order) ฉะนั้น ในการนิยามความหมายของรัฐ
อาจเปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับบริบทของการใช้คำ ว่าจะให้คำว่า “รัฐ” หมายแทนสิ่งใด
อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติ คำว่า “รัฐ” กลับพบปัญหาในการนำมาใช้อย่างมาก
เพราะตามแบบเรียนของการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยไม่ได้บอกว่ารัฐคืออะไร
แต่กลับกล่าวเพียงแค่รัฐประกอบไปด้วย 4 หน่วยหลัก คือ ประชาชน เขตแดน อำนาจอธิปไตย
และรัฐบาล ซึ่งต้องครบองค์ประกอบดังกล่าวเท่านั้นจึงถูกเรียกว่ารัฐ
การนิยามรัฐเช่นนี้จึงมีลักษณะเป็นการท่องจำ
และไม่ได้เชื่อมโยงกับความหมายในเชิงวิชาการทั้งในระดับภายในประเทศและระดับสากล
สำหรับการใช้คำว่า “รัฐ” ในสังคมไทย มักถูกผูกโยงเข้ากับเรื่องของ “อำนาจ”
และ
“เจ้าหน้าที่” เสมอ
กล่าวได้ว่ารัฐเป็นหน่วยการปกครองหนึ่งที่มีเจ้าหน้าที่รัฐสามารถใช้อำนาจรัฐกับประชาชน
และมีความหมายเชิงลบอยู่ในตัวเอง เพราะการใช้คำว่า “อำนาจรัฐ”
มีนัยไปถึงการที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้อำนาจปกครองกับประชาชนอย่างไม่ชอบธรรม
หรือใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงประชาชนที่สามารถอยู่ด้วยกันภายในสังคมหรือชุมชนของตัวเอง “รัฐ” ในสังคมไทยจึงเป็นคำที่มีระยะห่างกับ
“ประชาชน” และ “สังคม” มากพอสมควร และรัฐมักจะมีภาพลักษณ์ในด้านลบ เช่น เมื่อกล่าวถึงรัฐ
คนมักจะนึกถึง การแย่งชิงอำนาจ การทุจริตคอร์รัปชั่น
และความเชื่องช้าของระบบราชการในภาครัฐ ข้อสังเกตที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม จะเห็นว่า
แนวคิดเกี่ยวกับ “รัฐ” มีความหมายกว้างขวางมากที่สุดแนวคิดหนึ่ง
และสามารถถูกใช้ได้ในหลายบริบทและหลายความหมาย จึงเป็นไปได้ยากในการนิยามคำว่ารัฐให้กระชับหรือถูกต้องเพียงความหมายเดียว
แนวคิดว่าด้วยรัฐจึงอาจแยกพิจารณาโดยสังเขปได้ว่า รัฐในความหมายของพื้นที่
รัฐในความหมายของรัฐบาล และรัฐในความหมายของระบบราชการ
ประเด็นที่สังคมไทยต้องพยายามทำความเข้าใจคือ
รัฐอยู่ใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่าที่หลายคนตระหนัก ฉะนั้น
บทบาทของรัฐจึงกระทบต่อชีวิตประจำวันและความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หน้าที่ของรัฐที่สำคัญ นอกจากจะรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมแล้ว
รัฐต้องสร้างหลักประกันว่าจะพัฒนาประเทศเพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยรวม
และรัฐมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการประกันอิสรภาพและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล
กล่าวได้ว่า ในสังคมประชาธิปไตย บทบาทของรัฐที่พึงปรารถนาคือ
รัฐที่ช่วยพัฒนาอิสรภาพและเสรีภาพของประชาชนที่ด้อยโอกาสให้สามารถกระทำตามเจตนารมณ์ของเขาได้
รัฐที่กระจายทรัพยากรและความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจให้แก่คนทุกกลุ่ม เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน
และกระจายความเท่าเทียมกันของคนในสังคม ในประเด็นหลัง
บทบาทของรัฐในหลายประเทศจึงผูกโยงอยู่กับการจัดสรรสวัสดิการสังคม
ฐานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทย
ตามการปกครองระบอบประชาธิปประไตย
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น
เป็นการปกครองรูปแบบที่พระองค์จะทรงใช้พระราชอำนาจในฐานะประมุขของรัฐและในฐานะอื่นๆซึ่งเป็นไปตามที่รับธรรมนูญกำหนดไว้
ดังนี้
1. ทรงดำรงอยู่ในฐานะเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้
และผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้ององค์พระมหากษัตริย์ในทางใดๆมิได้
2. ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย ทรงเป็นมิ่งขวัญของทหารทุกเหล่าทัพ
3. ทรงเป็นพุทธมามกะ และยังทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก
4. ทรงไว้ซึ่งอำนาจที่จะสถาปนาฐานันดรศักดิ์ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยภรณ์รวมทั้งถอดถอนเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์
5. ทรงไว้พระราชอำนาจในการแต่งตั้งประธานสภาผู้แทนราษฎรประธานวุฒิสภา
รองประธานสภา
ผู้แทนราษฎร
รองประธานวุฒิสภา
และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผูแทนราษฎร
6. ทรงไว้ซึ่งอำนาจในการเรียกประชุมรัฐสภา
7. ทรงไว้พระราชอำนาจในด้านการตรา พระราชบัญญัติ พระราชกฤฏีกา
พระราชกำหนดเพื่อประโยชน์อันที่จะรักษาความปลอดภัยและ
ความมั่นคงทางเศษฐกิจของประเทศหรือป้องกันภัยพิบัติของสาธารณะ
8. ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนองคมนตรี
9.
ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการยับยั้งร่างพระราชบัญญัติซึ่งรัฐบาลนำทูลเกล้าฯถวายเพื่อลงพระปรมาภิไธย
10. ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎร
เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่
11. ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี
และให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งความเป็นรัฐมนตรี
12. ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการแต่งตั้งประธานศาลรัฐธรรมนูญ
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ประธานศาลปกครองสูงสุด
ผู้พิพากษา
ตุลาการศาลยุติธรรม
คณะกรรมการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
รวมทั้งราชการฝ่ายทหารและพลเรือนระดับสูง
13. ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพ
14. ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ
นอกจากนี้ยังมีพระมหากษัตริย์ยังทรงมีพระราชอำนาจอื่นๆตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช
2550
ในหมวดที่ว่าด้วยพระมหากษัตริย์อีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น